สิงห์บลูฟอร์มหรูต่อเนื่องหยุดสถิไร้พ่ายสาลิกาดง
แม้ว่านับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2022 นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดยังไม่เคยพบกับความปราชัยในพรีเมียร์ลีกอังกฤษติดต่อกันเป็นนัดที่ 9 แต่ก็ต้องหยุดสถิติเอาไว้เพียงเท่านี้ หลังจากออกไปโดนเชลซีเชือดไปสุดแสบในช่วงท้ายเกม 0-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2022 แต่พลพรรคสาลิกาดงก็ยังคงหายใจได้อย่างโล่งคอเพราะว่ามีแต้มนำห่างในทีมโซนตกชั้นอย่างวัตฟอร์ดมากถึง 11 แต้ม แถมยังลงเล่นน้อยกว่าเจ้าแตนอาละวาดหนึ่งนัดอีกด้วย
สิงโตน้ำเงินคามเป็นฝ่ายคุมเกมเอาไว้ได้ในกำมือก็จริง แต่กว่าจะได้เสียวก็ต้องรอจนกว่าเข้าสู่นาทีที่ 27 จากการที่ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะจอมเก๋าชาวโมร็อกโก เปิดเตะมุมจากทางฝั่งซ้ายไปให้เมาสัน เม้าน์ท ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ เอี้ยวตัววอลเลย์นอกกรอบเขตโทษ แต่ว่าบอลเหินข้ามคานออกไป ก่อนที่เม้าน์ทจะได้ลุ้นอีกดอกจากการลักไก่ซัดฟรีคิกมุมแคบไปเข้าข้างตาข่ายทางด้านซ้าย
อย่างไรก็ดีกลับกลายเป็นว่านิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายบุกมาขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์เปิดบอลจากทางด้านกราบซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้แดน เบิร์นโขกบอลพุ่งหลุดเสาไกลออกไปแบบได้ลุ้นเลยทีเดียว
ช่วงท้ายครึ่งแรกเจ้าสาลิกาดงพลาดโอกาสทองที่จะบุกไปนำอีกครั้ง จากการที่อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติเยอรมัน เคลียร์บอลไม่ขาดมาเข้าทางปืนของมิเกล อัลมิร่อนตะบันเต็มข้อล่อเต็มแข้งด้วยซ้ายตรงบริเวณหน้าเขตโทษ แต่ว่าเอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารทีมชาติเซเนกัลชุดแขมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ 2022 โชว์ซูเปอร์เซฟด้วยการบินปัดทิ้งออกไปได้
ครึ่งหลังโธมัส ทูเคิ่ล กุนซือมือเทพชาวเยอรมัน แก้เกมให้เชลซีด้วยการส่งสองตัวเด็ดอย่างโรเมลู ลูกากู ดาวยิงหุ่นตู้เย็นเคลื่อนที่ทีมชาติเบลเยี่ยม และมัตเตโอ โควาซิชลงไปทำหน้าที่แทนเมสัน เม้าน์ท และติโม แวร์เนอร์ หัวหอกทีมชาติเยอรมัน ตามลำดับ
นาทีที่ 77 จากการเชลซีมีโอกาสทองที่จะปลดล็อกจากการที่ซิเย็คเปิดบอลเข้าไปในเขตโทษให้ไค ฮาแวร์ตซ์ ดาวเตะทีมชาติเยอรมัน ได้โอกาสทองขึ้นโหม่งเหน่ง ๆ แต่ว่าบอลหลุดกรอบออกไปเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
เกมดูเหมือนว่าจะต้องแบ่งแต้มกันไป แต่สุดท้ายเหล่าสาวกสิงห์บลูในสแตมฟอร์ด บริดจ์ต่างก็ได้เฮกันลั่นในนาทีที่ 89 เมื่อจอร์จินโญ่ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 ตักบอลจากกลางสนามทะลุแนวรับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดให้ฮาแวร์ตซ์หลุดเดี่ยวเข้าไปกระทุ้งตุงตาข่ายโล่ง ๆ 1-0 ซึ่งนับเป็นการสวมบทฮีโร่อีกครั้ง หลังจากแข้งอินทรีเหล็กเป็นผู้พังประตูโทนในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกให้กำชัยเหนือทีมร่วมลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด 1-0 เมื่อซีซั่นที่แล้ว
ฮาแวร์ตซ์เกือบพังประตูที่สองของตนเองในเกมนี้ให้เชลซีย้ำชัยไปเป็น 2-0 หลังจากได้โอกาสหลุดเข้าไปในเขตโทษกดมุมแคบด้วยขวา แต่สุดท้ายก็ยังคงติดเซฟของมาร์ติน ดูบราฟก้า ก่อนที่บอลจะกระดอนไปชนคานเข้าอย่างจัง แม้จะฝังทูนอาร์มี่ไม่สำเร็จ แต่ช่วงเวลาที่เหลือนั้นมันก็ยังไม่มีทีมใดที่สามารถบวกสกอร์เพิ่มได้แต่อย่างใด
แม้ชัยชนะในเกมนี้ยังคงทำให้เชลซีอยู่ในอันดับ 3 บนตารางพรีเมียร์ลีก แต่ก็มีเพิ่มเป็น 59 คะแนนจาก 28 นัด และตามหลังแชมป์เก่าและจ่าฝูงอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้แบบไม่เห็นฝุ่นมากถึง 10 แต้มเลยทีเดียว ขณะที่นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดหยุดสถิติไร้พ่ายเอาไว้ที่ติดต่อกันนัดที่ 9 และรั้งที่ 14 มี 31 คะแนนจาก 28 นัด พร้อมทิ้งห่างทีมในโซนตกชั้นอย่างวัตฟอร์ด 11 แต้ม แถมพลพรรคทูนอาร์มี่ยังลงเล่นน้อยกว่าเจ้าแตนอาละวาดหนึ่งเกมอีกด้วย
อย่างไรก็ดีนาทีเชลซีต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากโดนหนึ่งในสปอนเซอร์หลักอย่าง “ทรี” ตัดสัมพันธ์ไม่ให้การสนับสนุนคาดบนอกเสื้อของสิงหบลู รวมไปถึงธนาคารชั้นนำของเมืองผู้ดีอย่าง “บาร์เคลย์” ยังได้ระงับบัตรเครดิตของแข้งสิงโตนำเงินครามชั่วคราว หนำซ้ำล่าสุดยังโดน “ฮุนได” บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ค่ายยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ประกาศขอพักความสัมพันธ์กับทางด้านเชลซีไปจนกระทั่งจะมีความเปลี่ยนแปลง ขณะที่รายได้ของเชลซีในนาทีนี้นั้นมันเหลือเพียงแค่มาจากการขายอาหารและเครื่องดื่มให้บรรดาแฟนบอลเท่านั้นเอง
รายชื่อผู้เล่นตัวจริง:
เชลซี (3-4-2-1): เอดูอาร์ เมนดี้, อันเดรียส คริสเตียนเซ่น, เทรโวชาโลบาห์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, มาล็อง ซาร์, ฮาคิม ซิเย็ค, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ติโม แวร์เนอร์ (มัตเตโอ โควาซิช นาทีที่ 63), เมสัน เม้าน์ท (โรเมลู ลูกากู นาทีที่ 64), ไค ฮาแวร์ตซ์
เทรนเนอร์: โธมัส ทูเคิ่ล
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (5-4-1): มาร์ติน ดูบราฟก้า, ฆาบี มากีนโญ่, พาเบียน ชาร์, จามาล ลาสเซลล์, แดน เบิร์น, แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์, ยาค็อบ เมอร์ฟี่, ฌอน ลอง สตาฟฟ์, บรูโน่ กิมาไรส์, มิเกล อัลมิร่อน, คริส วู้ด
เทรนเนอร์: เอ็ดดี้ ฮาว
ผู้ตัดสิน: เดวิด โคล